รักแท้ .มิลืมเลือน - นิยาย รักแท้ .มิลืมเลือน : Dek-D.com - Writer
×

    รักแท้ .มิลืมเลือน

    วันแรกที่ผมพบกับเธอบังเอิญ หลังจากที่ผมเกิดอารมณ์หงุดหงิด ที่ถูกเพื่อนร่วมงานบางคนตำหนิในการทำหน้าที่ เนื่องในงานวันเด็กแห่งชาติ

    ผู้เข้าชมรวม

    31

    ผู้เข้าชมเดือนนี้

    1

    ผู้เข้าชมรวม


    31

    ความคิดเห็น


    0

    คนติดตาม


    0
    จำนวนตอน :  0 ตอน
    อัปเดตล่าสุด :  20 พ.ย. 67 / 14:50 น.
    ตั้งค่าการอ่าน

    ค่าเริ่มต้น

    • เลื่อนอัตโนมัติ

                                                            รักแท้.มิลืมเลือน

                                               (ตอนที่1) แม่สื่อ..ชักนำ

        ผมไม่เคยคิดเลยว่า การที่ผมได้รู้จักกับเธอโดยบังเอิญในงานวันเด็กแห่งชาติ ในปีนั้น  มันทำให้ผมโหยหาที่อยากจะคบกับเธออีก 

      “ผู้หญิงคนนี้ ช่างสวยงาม อีกน่ารักอย่างมาก ช่างสง่างามทั้งยังมีจิตใจดียิ่ง ราวกับนางฟ้านางสวรรค์ ” ผมคิด 

      ผมต้องย้อนหวลคืนกลับไปคิดถึงวันที่ผมได้พบกับเธอเป็นวันแรกโดยบังเอิญทั้งๆที่เราไม่เคยรู้จักกันมาก่อน เวลานั้น ผมยังเพิ่งมาทำงานที่สถาบันแห่งนี้เป็นปีที่สอง  ผมยังจำได้ว่า  ช่วงนั้น..พิธีเปิดงานวันเด็กเพิ่งแล้วเสร็จ และผมได้ถูกตำหนิจากอาจารย์บางคนที่มีความอาวุโสกว่า 

      “นี่คุณสั่งลูกโป่งมาแต่เช้า กว่าท่าน สส.จะมาทำพิธีการเปิดงาน ลูกโป่งที่อัดลมมาก็เหี่ยวพอดี  ” ผู้ช่วยผู้อำนวยการพูด

      “จริงด้วย ทำไม??  อาจารย์ขลุ่ย ..ไม่จ้างให้เขามาอัดลมที่วิทยาลัยของเราล่ะ  ” อาจารย์ปวีณา พูด 

      “แล้วผมจะทราบได้อย่างไรเล่า ว่าประธานในพิธีจะมาล่าช้า  นี่หากผมไปเอาลูกโป่งตอนสายๆ เกิดทางร้านอัดลมลูกโป่งไม่ทัน ผมก็ต้องโดนตำหนิ อยู่่ดี  ”  ผมพูด

      การจัดงานวันเด็กแห่งชาติในปีนี้ ถือว่าเป็นการริเริ่มได้ทดลองจัดงานขึ้นเป็นครั้งแรก วิทยาลัยของเราได้กำหนดวันจัดงานสามวัน คือจัดก่อนและหลังวันเด็กเพิ่มเข้าไป  ช่วงก่อนการจัดงานวันเด็กทางผู้อำนวยการและฝ่ายบริหารรวมทั้งอาจารย์ทุกคน ได้มีการประชุมและแบ่งความรับผิดชอบการทำงานไว้   ผมได้รับมอบหมายให้อยู่แผนกงานพิธีการ และการประชาสัมพันธ์ ก่อนจะถึงงานวันเด็กแห่งชาติสองสัปดาห์คือตั้งแต่เวลา 15.00- 18.00 น. ผมกับนักศึกษาอีกสองคนจะต้องนั่งรถกระบะนิสสันซึ่งติดตั้งเครื่องเสียงไว้  วิ่งตะลอนๆไปประชาสัมพันธ์ พร้อมโปรยใบปลิวเพื่อประชาสัมพันธ์ระหว่างทางไปเรื่อยๆ   งานมอบหมายแรกที่ผมได้รับให้ดำเนินการชิ้นนี้ ไม่ได้ทำให้ผู้อำนวยการผิดหวังในตัวผมเลยแม้แต่น้อย ทุกอย่างค่อนข้างสมบูรณ์เพราะมีเด็กเล็ก-เยาวชนและประชาชนมาเที่ยวชม ดูนิทรรศการทางวิชาการ  มาซื้อหาผลิตผลทางการเกษตรในราคาย่อมเยาที่วิทยาลัยผลิตได้เอง  เพียงแต่ผมมาพลาดในงานพิธีการเกี่ยวกับการไปสั่งลูกโป่งจากร้านในเมืองเช้าเกินไป จึงทำให้พิธีการเปิดงานขาดประสิทธิภาพไปบ้าง 

     จากเสียงตำหนินี้ ทำให้ผมรู้สึกน้อยใจ ผู้บริหารที่เป็นประธานฝ่ายพิธีการและเพื่อนร่วมงานคนหนึ่ง  ทั้งๆที่ผมมีความหวังดี เกรงว่าหากไปในเมืองช้าจนเจ้าของกิจการจำหน่ายลูกโป่ง ไม่สามารถอัดลมได้ทัน เนื่องจากวิทยาลัยต้องสั่งลูกโป่งจำนวน 200 ลูก  ทั้งในวันดังกล่าวนี้ ยังมีลูกค้าของส่วนงานราชการและภาคเอกชนอื่นๆที่จัดงานวันเด็กฯ ต้องสั่งสั่งลูกโป่งที่ร้านดังกล่าวด้วย  ผมต้องออกจากบ้านพักแต่เช้าในเวลา 06.00 น และยังต้องรอรับเอาลูกโป่งที่ต้องเริ่มอัดลมให้ อีกหนึ่งชั่วโมง รวมทั้งการเดินทางไปกลับอีกหนึ่งชั่วโมง  และยังต้องมาคอยเตรียมการรอให้ประธานมาเปิดงานอีก ผมจึงไม่ได้รองท้องด้วยอาหารใดๆเลยสักนิดเดียว  แม้จะหิวแค่ไหน ก็ต้องจำรอเพื่อไม่ให้งานเสียหาย  และหลังจากประธานมาเปิดงานเสร็จเรียบร้อยแล้ว ผมจึงเดินมายังร้านขายก๋วยเตี๋ยวที่อยู่ใกล้ที่สุด  

                                                   ************************

                               ร้านค้าก๋วยเตี๋ยวที่มุงหญ้าคา หลังเล็กๆใกล้เวทีการแสดง  

        “ก๋วยเตี๋ยวเส้นเล็กแห้งเนื้อเปื่อยชามนึง บะหมี่น้ำเนื้อเปื่อยอีกชามนึง  น้ำแข็งเปล่าแก้ว” ผมตะโกนสั่งแม่ค้าที่กำลังยืนที่หน้าตู้กระจกใส่วัตถุดิบต่างๆ 

       “จร้า”  แม่ค้าตอบ

         หน้าตาของผมในเวลานั้น หน้านิ่วคิ้วขมวด สามารถสื่อให้คนอื่นๆรู้ได้ว่าผมกำลังหงุดหงิดกับอะไรบางอย่าง เมื่อผมนั่งที่เก้าอี้แล้ว ขณะกำลังนั่งรอกินได้ยินเสียงสตรีร่างผอม ผิวดำแดงที่นั่งอยู่โต๊ะข้างๆเอ่ยทักทาย  อายุของเธอผมคิดว่าคงไม่เกิน 40 ปี

       “หงุดหงิด อะไรหรือจ๊ะ พ่อหนุ่ม ” สตรีคนนั้น พูด 

       แน่นอนว่า แม้ผมจะกำลังหงุดหงิดและกำลังโมโหหิว แต่จะอย่างไร ผมก็ยังรักษามารยาทในฐานะเจ้าบ้านที่ดี ผมมองไปยังโต๊ะที่เธอนั่งได้เห็นว่ามีสาวรูปร่างดี หน้าตาสวยเป็นที่สะดุดตา เธอใส่เสื้อเชิ้ตสีฟ้าอ่อนๆ สวมกางเกงขายาวสีดำ สวมรองเท้าหุ้มส้นนั่งอยู่ด้วย ในใจผมคิดว่า เธอคงน่าจะเป็นเพื่อนร่วมงาน ในหน่วยงานในเมืองมาชมงานวันเด็กแห่งชาติ

       “นิดหน่อยครับ  ” ผมตอบ

      “มีอะไร พอจะบอกกับน้า ได้มั้ย  คงถ้าจะหิวมากเลย นะ  ” สตรีคนนั้นพูด  

      “ครับ ผมยังไม่ได้ทานอะไรเลยตั้งแต่เช้า มัวยุ่งกับงาน ยังมาโดนดุอีก ทั้งๆที่ผมทุ่มเทการทำงานเต็มที่  ” ผมพูด

       “น้าชื่อคำแก้วเป็นครูสอนที่โรงเรียนป่ามะขาม มากับหลานสาวชื่ออี๊ดเป็นอาจารย์สอนอยู่ที่วิทยาลัยพยาบาลน่ะ รู้จักกันสิจ๊ะ  ”ครูคำแก้ว พูด

      “งั้นผมขออนุญาต แนะนำตัวนะครับ ” 

    ผมได้แนะนำตัวเองโดยบอกชื่อ นามสกุลจริง ไปให้คนทั้งสองทราบ ทั้งยังบอกชื่อเล่นเพิ่มไปอีก

       “ถ้าจะเพิ่งมาทำงานได้ ไม่นานกระมังเนี่ยะ ” ครูเสาร์แก้วพูด

      “ครับ  เพิ่งทำงานได้ปีเศษๆเอง ครับน้า ”

       ได้คุยกันไม่ทันถึง 5 นาที  ผมรู้สึกตราตรึงกับสาวที่เป็นอาจารย์สอนพยาบาลคนนี้  คำพูดคำจาที่เธอเอ่ยมาทำให้ความขุ่นมัวเ มื่อก่อนหน้าได้เพลาๆลงอย่างรวดเร็ว

      “ใจเย็นๆค่ะ คนหนุ่มไฟแรงคนทำงานเท่านั้นแหละค่ะที่จะมีปัญหา คนไม่ทำอะไรเลยย่อมไม่มีความผิด” อาจารย์ อื๊ดพูด 

      “ตลอดสองสัปดาห์มานี่  ผมมิได้หยุดหย่อนเลย ทุกเย็นมาจนสองทุ่ม ต้องออกรถไปประชาสัมพันธ์งานวันเด็กทั้งในเขตเทศบาลเมืองและออกต่างอำเภอ” ผมพูดระบาย ความในใจ

      “เข้าใจค่ะ เมื่อสักครู่นี้ .อื๊ดก็เห็นคุณอยู่บริเวณเวทีงานแล้ว  ” อาจารย์อืีี๊ด พูด

      “รู้จักกันวันนี้ ก็ดีแล้ว เราเป็นคนหนุ่มสาว ที่จะเป็นตัวตายตัวแทนคนรุ่นของน้า มีอะไรก็ไปมาหาสู่ช่วยเหลือเกื้อกูลกันนะจ๊ะ ”น้าคำแก้ว พูด 

    เป็นเรื่องที่เหลือเชื่อจริงๆว่า จู่ๆขณะที่ผมกำลังเครียดกับเรื่องภายในที่ทำงาน ก็ได้รับกำลังใจกับสตรีสองคนต่างวัย ที่ไม่รู้จักกันมาก่อน ได้มาช่วยปลอบประโลมใจให้อดทนกับสิ่งที่ประสบมา

     “ขอบคุณ ครับน้า จากนี้ไปผมจะขอใช้สรรพนามเรียกครูคำแก้ว  ว่าน้าเแก้ว นะครับ”  ผมพูด

      “ได้สิจ๊ะ หลานชาย” น้าคำแก้วพูด

      หลังจากพิธีการเสร็จแล้ว ผมไ่ม่มีงานที่จะรับผิดชอบอีก จึงถือโอกาสได้นั่งคุยแลกเปลี่ยนกับอาจารย์อื๊ด อีกกว่าครึ่งชั่วโมง 

    “เดี๋ยวน้า ไปเดินดูผลิตผลการเกษตรสักครู่  สองคนหนุ่มสาวนั่งคุยกันไปพลางๆก่อน นะจ๊ะ” น้าคำแก้วพูด พลางปลีกตัวจากร้านขายก๋วยเตี๋ยว

    “ผมขออนุญาตเรียกชื่อ อาจารย์ว่าอื๊ด เลยนะครับ ”

    “ยินดีค่ะ อาจารย์ขลุ่ย  ” 

    “หากผมมีโอกาสเข้าไปในเมือง จะแวะเข้าไปเที่ยวหา จะขัดข่้องหรือไม่ครับ  ”ผมพูด

    “ยินดีค่ะ อาจารย์ขลุ่ย ”เธอพูด

     การแลกเปลี่ยนการสื่อสาร เพียงชั่วระยะเวลาหนึ่ง ทำให้เราได้รู้จักนิสัยใจคอกันอย่างรวดเร็ว ความสวย กิริยาอาการ วาจาที่สุภาพอ่อนหวานนี้ เสมือนว่าขณะนั้น ผมถูกมนต์สะกดจากนางฟ้าชุดขาวเข้าแล้ว 

      “เรา..จะต้องติดตามสาวงามคนนี้ อย่าให้พลาดไปได้เลยเชียว  ”ผมนึกในใจ

      หลังจากที่น้าสาวของเธอมาที่ร้านกวยเตี๋ยว  ผมจึงบอกกับแม่ค้าให้คิดเงิน ค่าอาหารบนโต๊ะทั้งหมด

     “ไม่ได้นะ หลานชาย น้ามีความอาวุโสและทำงานมานานแล้ว มีรายได้มาก ขอเป็นคนจ่ายเงินเองแค่กวยเตี๋ยวสองชาม ไม่ได้ทำให้น้าต้องเดือดร้อนหรอกจ่ะ”  น้าคำแก้วพูด

     “ผมเป็นเจ้าบ้านครับ ขอผมเป็นคนจ่ายเอง ก็เช่นกันนะครับน้า ก๋วยเตี๋ยวสองชามก็ไม่ได้ทำให้ผมเดือดร้อนเลยสักนิด ” ผมพูด

         ทั้งสองฝ่ายต่างแย่งชิงกันเป็นเจ้ามือจ่ายค่าอาหาร แต่บทสรุปคือ คนกลางได้เข้ามาเป็นคนไกล่เกลี่ย

    “งั้นอี๊ด ขอเป็นเจ้ามือเอง ” 

           เธอพูด พลางนำเงินไปให้แม่ค้า จากนั้นจึงส่งยิ้มให้น้าคำแก้ว กับผม และพลางขอตัวกลับเข้าในเมือง

    “กลับกันเถอะน้า  ”อาจารย์อี๊ด พูด

                                ผมมองสตรีสองคน น้าหลานที่เดินจากไป อย่างมิคาดสายตา  

                                             ************************************

      การทำงานของผมนี่มันข่างหนักหนา กว่าทุกคน”  เมื่อผมได้ลองเปรียบเทียบกับอาจารย์ที่มาบรรจุในรุ่นเดียวกัน           “เป็นเพราะผู้บริหารมองว่า เราเป็นคนมีความสามารถกระมัง เขาจึงมอบหมายงานสำคัญให้ทำ " ผมคิด

      บางช่วงที่ผมเหงาๆ ในใจก็คิดว่า  หากเรามีสตรีสักคนเป็นเพื่อนไว้คุยแก้เหงาได้ก็คงจะดี  การได้มาเที่ยวในเมืองและมานั่งในสถานบันเทิงในบาร์ ในคอฟฟีช็อป ที่มีสาวมาบริการและได้นั่งคุยกันเพียงสาม-สี่ชั่วโมง ก็เป็นเพียงการช่วยให้คลายเหงาได้เพียงแค่ชั่วคราว  ไหนยังต้องมาหมดเงินกับค่าอาหารและเครื่องดื่ม และค่าทิปให้เธออีก   

    “เอาเป็นว่า หากเพื่อนๆในที่ทำงานมาชวนไปเที่ยวบาร์อีก เราคงจะต้องบอกปัดไปว่า จะขอไปเพียงสองครั้งต่อเดือนเท่านั้น ”ผมคิด

    “ไอ้ขลุ่ย เปลี่ยนไป ว่ะ” ศานิตย์ พูด

     ศานิตย์ เป็นเพื่อนที่พักภายในบ้านพักและห้องเดียวกันกับผม เขามีอายุรุ่นราวเดียวกันกับผม แต่เรียบจบปริญญาตรีก่อนผม 1 ปี เวลานั้นในที่ทำงานมีบ้านพักไม่เพียงพอ ผมจึงต้องพักกับเขา การอยู่พักกับเพื่อนต่างนิสัย นับเป็นเรื่องที่น่าอึดอัดใจอยู่พอสมควร

    “ไปไม่ได้ว่ะ เพื่อน  ตอนนี้ค่าใช้จ่ายกูหนักเลย นี่กูยังโทรเลขไปขอเงินแม่มาใช้อีก โดนพี่จวกยับเลย” ผมพูดกับเพื่อนที่พักในห้องเดียวกัน

    “ไม่เป็นไร  ตามใจมึง” ศานิตย์ พูด

     ที่ผ่านมาผมกับศานิตย์ จะเข้ามาในเมืองเพื่อไปเที่ยวดื่มยามราตรีตามประสาคนโสด  หลังจากที่ผมจำกัดการท่องเที่ยว  ศานิตย์จึงไปชวนเพื่อนคนอื่นๆไปแทน ระยะหลังมานี้ ศานิตย์ได้มีจักรยานยนต์ส่วนตัวใช้  เขาจึงสะดวกที่จะเข้ามาในเมืองที่มีระยะทาง 16 กิโลเมตร 

                                               ****************************

    “ทำไงดี หากเราจะแวะไปที่วิทยาลัยพยาบาล เพื่อไปพบกับอาจารย์อี๊ด  หากเราจะเข้าไปพบเธอโดยตรงก็คงจะดูน่าเกลียด  "ผมคิด 

    ผมพยายามคิดวางแผนอยุู่หลายวัน และก็ได้กำหนดแผนไว้ว่า ผมคงจะใช้คนกลาง เพื่อเป็นสะพานเชื่อมไปหาอาจารย์อี๊ดก่อน และสายๆ วันหนึ่ง ผมจึงเตรียมนำไข่ไก่และนมสดจำนวนหนึ่งแวะไปยังโรงเรียนบ้านป่ามะขาม ซึ่งเป็นสถานที่ ที่น้าคำแก้วทำงาน 

    “โชเฟอร์จอดรถ ที่ใต้ต้นหูกวางเลยนะ เดี๋ยวผมจะเอาไข่และนมไปฝากคุณครูที่ห้องทำงานที่นี่ และจะขอคุยธุระ ไม่เกินสิบนาที  ” ผมพูดกับโชเฟอร์ของวิทยาลัย 

    “ตามสบายครับ..อาจารย์” โชเฟอร์ตอบ 

     อาคารเรียนชั้นเดียว ที่สร้างบนเนินสูง ซึ่งติดกับวัด ช่างเป็นบรรยากาศที่งดงามยิ่งนัก  เมื่อผมขึ้นไปบนอาคารเรียนแล้ว ได้พบครูที่กำลังสอนหนังสือกับเด็ก

    “มาหา..ใครคะ ” ครูสาวคนหนึ่งสอบถาม

     “ครูคำแก้ว.ครับ  ” ผมพูด

      “เดินไปสุดอาคาร เลยค่ะ” ครูสาวตอบ

      ไม่ทันจะเดินไปถึง  ก็ต้องสวนทางกับคนที่ต้องการจะไปพบ 

     “อ้าว หลานชาย ไปไงมาไงละเนี่ยะ ”

    “ตั้งใจมาหาน้าแก้ว โดยตรงเลย  ครับ”

    “งั้นเข้ามานั่งคุยกันในห้องก่อนสิ  ” 

    “ครับ” ผมพูด

      ในห้องพักครูมีโต๊ะตั้งอยู่ 6 ชุด ผมจึงสันนิษฐานว่า ในห้องนี้น่าจะมีครูนั่งรวมกันเพียงหกคน ซึ่งนับว่าแออัดกันพอควร

    “ผมเอาไข่กับนม มาฝากน้า ครับ  พอดีผมดูแลงานด้านการผลิตและจำหน่ายด้วย อยากให้น้าได้ลองชิมดู เพื่อได้ช่วยเผยแพร่ประชาสัมพันธ์ให้ผมด้วย” ผมพูด

    “ขอบใจจร้า หลานชาย แน่ใจเหรอ ที่ตั้งใจมาหาน้าแค่คนเดียว ”น้าคำแก้ว พูด

    " คนอะไรนะ ช่างรู้ใจเรายิ่งนัก”  ผมคิดในใจ

    “จริงๆ อยากพบหลานสาวของน้าด้วยน่ะครับ น้าต้องช่วยผมหน่อยนะบอกตรงๆ ว่าผมชอบอี๊ดเข้าแล้วล่ะ” ผมพูด

    “น้าก็รู้อยุู้แล้ว ตั้งแต่วันที่เราพบกัน ที่ร้านก๋วยเตี๋ยวในงานวันเด็ก เธอ..นี่มองหลานสาวน้า จนแทบละลาย”น้าคำแก้วพูด

    “ครับ ผมยอมรับ ตั้งแต่ผมโกรธที่ถูกตำหนิ ผนวกกับโมโหหิว พอเจอคุณอื๊ด ผมนี่..ลืมไปสิ้นทุกอย่าง เลยครับ” ผมพูด

    “เอาเป็นว่า..เดี๋ยวน้าจัดการเรื่องนี้ให้เอง ว่าแต่ชอบหลานสาวของน้า จริงๆนะ  อย่ามาเหลาะแหละโดยเด็ดขาด ” น้าคำแก้วพูด

    “ชอบมากๆจริงๆ ด้วยสิครับ เห็นครั้งแรก ผมก็นึกหลงรักเลยเชียว ”ผมพูด

     “เอางี้ ทุกวันศุกร์ น้าจะรับอี๊ด ไปทานข้าวมื้อค่ำ เอาเป็นว่า..น้าขอนัดหลานชายล่วงหน้า ให้มาร่วมทานข้าวด้วยกันเลย ดีมั้ย” น้าคำแก้วพูด

    “ดีที่สุดเลยครับ  ผมอยากมีโอกาสนี้ เหมือนกัน” ผมพูด

     “ว่าแต่หลานชาย ทานอาหารเมืองเหนือ ได้หรือเปล่า ล่ะ จะได้กำหนดสถานที่่ได้ชัดเจน ” น้าคำแก้วพูด

     “ได้ทุกอย่างครับ ”ผมพูด

      “งั้นน้า ขอนัดพบกันช่วงเวลาหกโมงครึ่ง ที่ร้านอาหารสายลม ก่อนทางเข้าสนามบิน นะจ๊ะ” น้าคำแก้วพูด

      “ได้ครับ  ”

     “ทุกอย่าง น้าจะทำเซอร์ไพร์ทอี๊ด  โดยจะไม่บอกให้เธอรู้ตัวล่วงหน้า  ” น้าคำแก้ว พูด

     “ช่างเป็นความคิดที่แยบยล จริงๆครับน้า ” ผมพูด

      “งั้นผม……ขอตัวกลับที่ทำงานแล้วครับ  ” ผมพูด

       “จ๊ะ ”

               หลังจากร่ำลา เจ้าของพื้นที่แล้ว  จึงเดินลงจากอาคารเรียนลงมาเพื่อขึ้นรถยนต์ กลับมายังที่ทำงาน 

                                                  ****************************

                                                      ขลุ่ย   บ้านข่อย 

                                                       (๒๐-๑๑-๖๗)

                หมายเหตุ เรื่องนี้ มีหลายตอน จะรวบรวมไว้ลงเป็นเรื่องยาว ในโอกาสต่อไปครับ 

     

     

     

    นิยายแฟร์ 2024

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    นักเขียนเปิดให้แสดงความคิดเห็น “เฉพาะสมาชิก” เท่านั้น